อัลเบิร์ต อาร์โนลด์ "อัล" กอร์ จูเนียร์ (อังกฤษ: Albert Arnold "Al" Gore Jr.) (เกิด 31 มีนาคม พ.ศ. 2491) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกัน นักธุรกิจ เขาเป็นประธานของช่องรายการโทรทัศน์อเมริกัน เคอร์เรนท์ ทีวี (Current TV) ซึ่งชนะรางวัลเอ็มมี่ปี 2550, ประธานบริษัท เจเนอเรชั่น อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์ (Generation Investment Management LLP) , หนึ่งในคณะกรรมการบริษัท แอปเปิ้ล (Apple Inc.) , ประธาน องค์กรพันธมิตรเพื่อการปกป้องสภาพอากาศ (Aliance for Climate Protection) , และที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการแก่ผู้บริหารระดับสูงของกูเกิ้ล (Google) และในปี พ.ศ. 2550 นายอัล กอร์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
อัลเบิร์ต เอ กอร์ จูเนียร์ เกิดในวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นลูกชายของ อัลเบิร์ต อาร์โนลด์ กอร์ ซีเนียร์ (Albert Arnold Gore, Sr.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (2482-2487, 2488-2496) และสมาชิกวุฒิสภา (2496-2514) จากรัฐเทนเนสซี และพอลีน ลาฟอง กอร์ (Pauline LaFon Gore) ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกๆที่สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ (Vanderbilt University Law School) ในวัยเด็ก ช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม กอร์อาศัยอยู่กับครอบครัวในโรงแรมในเมืองวอชิงตัน ขณะที่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เขาจะทำงานในฟาร์มของครอบครัวในเมืองคาร์เธจ (Carthage) รัฐเทนเนสซี
กอร์เข้าศึกษาที่ โรงเรียนเซนต์อัลแบนส์ (St. Albans School) ที่ซึ่งเขาสอบได้ลำดับที่ 25 จากนักเรียน 51 คน ในชั้นเรียนปีท้ายสุด กอร์ทำคะแนน SAT (การสอบวัดมาตรฐานความรู้เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ) ได้ 1355 คะแนน (625 ด้านภาษา, 730 ด้านคณิตศาสตร์) เขาได้คะแนน IQ จากการสอบซึ่งโรงเรียนเซนต์อัลแบนส์จัดขึ้นในปี 2504 และ 2507 เท่ากับ 133 และ 134 ตามลำดับ
ปี 2508 กอร์ได้เข้าศึกษาที่วิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard College) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวที่เขาส่งใบสมัคร เขาได้คะแนนต่ำเป็น 5 อันดับสุดท้ายในชั้นเรียนติดต่อกันถึง 2 ปี หลังจากพบว่าตนเองเบื่อหน่ายกับวิชาสาขาเอกภาษาอังกฤษซึ่งเลือกไว้ เขาจึงเปลี่ยนวิชาเอกเป็นรัฐศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมในเดือนมิถุนายน 2512 ปริญญาศิลปศาสตร์สาขารัฐศาสตร์ (Bachelor of Arts in government) หลังจากเสร็จสิ้นการเข้ารับราชการทหารในกองทัพ เขาเข้าศึกษาด้านศาสนาที่มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ (Vanderbilt University) แล้วจึงเข้าศึกษาโรงเรียนกฎหมายประจำมหาวิทยาลัยนั้น เขาลาออกจากแวนเดอร์บิลต์ก่อนจบการศึกษาเพื่อลงสมัครชิงเก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 3 ประจำรัฐเทนเนสซี (Tennessee's 3rd Congressional District) ในปี 2519
กอร์คัดค้านการทำสงครามเวียดนาม และอาจหลีกเลี่ยงการต้องไปปฏิบัติงานที่ต่างแดนได้โดยยอมรับตำแหน่งในกองกำลังสำรอง (United states National Guard) ซึ่งเพื่อนของครอบครัวเขาได้สำรองไว้ให้ กอร์กล่าวไว้ว่าความสำนึกในหน้าที่ต่อประเทศชาติทำให้เขาเข้ารับตำแหน่งในบางหน้าที่ เขาเข้ารับตำแหน่งในกองทัพสหรัฐฯ (United States Army) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2512 หลังจากรับการฝึกฝนขั้นพื้นฐานที่ค่ายทหาร ฟอร์ท ดิ๊กซ์ (Fort Dix) กอร์ได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์กองทัพเขียนลง ดิ อาร์มี่ ฟลายเออร์ (The Army Flier) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ประจำค่ายทหารฟอร์ท รัคเกอร์ (Fort Rucker) ด้วยเวลาที่เหลือเพียง 7 เดือนก่อนหมดเวลาการรับตำแหน่ง เขาถูกส่งไปยังเวียดนาม โดยไปถึงเมื่อ 2 มกราคม 2514 ทำหน้าที่ในหน่วยวิศวกรที่ 20 (The 20th Engineer Brigade) ที่เมือง เบียนเฮา (Bien Hao) และอีกหนึ่งเดือนที่กองกำลังวิศวกร (The Army Engineer Command) ที่เมืองลองบินห์ (Long Binh)
กอร์รับตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (United States House of Representatives) ตั้งแต่ปี 2520-28 และในวุฒิสภา (United States Senate) ตั้งแต่ปี 2528-36 ในฐานะตัวแทนจากรัฐเทนเนสซี (Tennessee) หลังจากนั้น กอร์รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของ บิล คลินตัน (Bill Clinton)
กอร์เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต (Democratic Party) ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2543 อันเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง เนื่องจากข้อบกพร่องในการนับคะแนน รวมถึงการฟ้องร้องศาลสูงประจำรัฐฟลอริด้า เพื่อทำการชี้ขาดผลการเลือก สุดท้าย ตำแหน่งประธานาธิบดีตกเป็นของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช
กอร์ บรรยายรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนเป็นวงกว้างทั่วสหรัฐฯ ซึ่งต่อมามีการถ่ายทำเป็นสารคดีรางวัลออสการ์ เรื่องจริงช็อคโลก (An Inconvenient Truth) ว่าด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน องค์กร เซฟ อาวร์ เซลฟ์ส์ (Save our Selves) ภายใต้การนำของเขา เป็นผู้จัดคอนเสิร์ตการกุศล ไลฟ์เอิร์ธ (Live Earth) ขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2550 (07.07.07) ในเดือนกรกฎาคม 2550 เขาประกาศว่าจะร่วมมือกับ คาเมอรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ 60 Seconds to Save the Earth เพื่อขอความสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์สภาพอากาศ กอร์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2550 ร่วมกับ คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovermental Panel on Climate Change : IPCC) สำหรับ "ความพยายามในการสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอันเกิดจากมนุษย์ และวางรากฐานสำหรับมาตรการซึ่งจำเป็นสำหรับการบรรเทาสภาวการณ์ดังกล่าว" เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550
หนังสือของ กอร์ ในปี 2550 ที่ชื่อว่า The Assault of Reason ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวโน้มปัจจุบันในการเมืองสหรัฐฯที่มีการตัดสินใจด้านนโยบายโดย เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ ติดอันดับหนึ่งหนังสือขายดีของนิวยอร์ก ไทม์ส์ (New York Times Bestsellers) ประเภทหนังสือปกแข็งที่ไม่ใช่เรื่องแต่งใน 4 สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย
แม้กอร์จะกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า "ผมไม่ได้วางแผนที่จะลงสมัครเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งอีก" แต่ก็มีการคาดคะเนอยู่บ่อยครั้งว่าเขาอาจลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีประจำปี 2551